แนะหากเครียดควรปรับทุกข์กับคนใกล้ชิด

ยอดผู้ป่วยเหตุชุมนุมนิ่งแล้ว ไม่มีเพิ่มเติม พบแค่เป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ 12 ราย แนะดูแลความอบอุ่นร่างกาย ดื่มน้ำมากๆ เหตุอากาศเย็นลง ด้านคนเจ็บจากเหตุชุมนุมที่นอนรักษาในโรงพยาบาลเหลืออยู่ 12 ราย เตือนผู้ชุมนุม ปชช. หากเครียดจากการเมือง ให้ปรึกษาคนใกล้ชิดหรือสายด่วนกรมสุขภาพจิต

วันนี้ (11 ธ.ค.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ ให้ สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหาร สธ. ภาคีเครือข่าย และทีมปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน ประเมินสถานการณ์และวางแผนดำเนินงานด้านการแพทย์รองรับการชุมนุม ว่า สธ.ยังคงใช้แผนเอราวัณ 2 ในการดูแลผู้ชุมนุม ร่วมกับศูนย์เอราวัณ กทม. รพ.วชิรพยาบาล รพ.พระมงกุฏเกล้า รพ.รามาธิบดี มูลนิธิป่อเต็กตึ้ง และมูลนิธิร่วมกตัญญู โดยจะปรับแผนตามสถานการณ์ หากผู้ชุมนุมเคลื่อนที่จากที่ตั้งก็จะส่งทีมติดตามดูแลโดยร่วมกับทีมจิตอาสา ที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุม ซึ่งจะให้การดูแลประชาชนร่วมกัน และนำส่งรักษาในโรงพยาบาลในกรณีจำเป็น

นพ.สุพรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับจำนวนผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. - 11 ธ.ค. ข้อมูลเมื่อเวลา 8.00 น.ไม่มีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม พบเพียงผู้ชุมนุมเจ็บป่วยทั่วๆไป เช่น ไข้หวัด ปวดศีรษะ จำนวน 12 รายในจำนวนนี้นำส่งตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี 4 ราย สำหรับผู้บาดเจ็บที่นอนรักษาในโรงพยาบาล แพทย์อนุญาตกลับบ้านได้ 3 ราย คงเหลือนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 12 ราย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขณะนี้สภาพอากาศเย็นลง ขอให้แนะนำให้ผู้ชุมนุม โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่เดิม เช่น โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ดูแลความอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากสภาพอากาศเย็นลง อาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ง่าย

"สำหรับผลกระทบด้านสุขภาพจิตจากการชุมนุม ปัญหาที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความวิตกกังวล ขณะนี้กรมสุขภาพจิตได้ขึ้นทะเบียนทั้งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต เพื่อดำเนินการดูแลให้ครบทุกรายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแล้ว ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมหรือประชาชนทั่วไป หากมีความวิตกกังวล ความเครียดจากข่าวสารต่างๆ ในการคลี่คลายเบื้องต้น

แนะนำให้พูดคุยกับคนในครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดหรือเพื่อน เพื่อปรับทุกข์ จะช่วยบรรเทาได้ หากยังไม่ดีขึ้น ให้โทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิตหมายเลข 1323 และ1667 ตลอด 24 ชั่วโมง" อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว

Cr. ที่มา http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/38016